undefined
undefined
undefined

เมื่อพานพบจนผูกพัน แต่อย่ามุ่งมั่นเพื่อผูกมัด



เมื่อพานพบจน"ผูกพัน"... อย่ามุ่งมั่นเพื่อ"ผูกมัด"

เมื่อความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวใกล้ชิดสนิทแน่นจนเป็น " ความรัก ความผูกพันต่อกัน "

หลายคนเข้าใจ "ความรัก" ในความหมายที่ผิด

แค่เห็นเขาครั้งแวบแรก แล้วเกิดอาการขนลุกซู่ชูชัน ภาพใบหน้าของเขา พุ่งกระแทกทะลุสายตา แล้วแผ่ซ่านไปทั่วเรือนร่างคล้ายโดนไฟฟ้าดูด เสมือนหนึ่งเคยทำบุญร่วมกันในชาติปางก่อนแล้วบอกกับตัวเองว่า " เขาคือเนื้อคู่ของฉันบุพเพสันนิวาสเป็นอย่างนี้นี่เอง "

เวลาไม่เจอหน้าเขาหรือต้องจากกันไกล ใจก็เฝ้าคิดถึง เป็นทุกข์ จนไม่เป็นอันกิน ไม่เป็นอันนอนแล้วบอกกับตัวเองว่า " เขามีความหมายต่อฉันมากฉันจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีเขา "

อยากอยู่ใกล้เขานานๆ รู้สึกอบอุ่น ถ้าเขาไปอยู่ใกล้คนอื่น เราจะไม่พอใจอย่างยิ่ง แล้วบอกกับตัวเองว่า " เขาเป็นของฉันเราเกิดมาเพื่อเป็นของกันและกัน "

และอะไรต่อมิอะไรที่ทำให้ความคิดฟุ้ง อารมณ์ซ่าน พาลคิดต่อไปว่าฉันรักเขามากเหลือเกิน และฉันอยากให้เขารักฉันมากๆ เช่นเดียวกัน เพราะความรักเป็นอมตะนิรันดร์กาล
อารมณ์ต่างๆ ที่ว่ามาเป็นแค่ภาวะติดใจ หลงใหลและโหยหา เสมือนจุดเริ่มต้น นำไปสู่การประสานความรู้สึกที่ผูกพันต่อกันและกันในอนาคต เพราะความรักเป็นพัฒนาการ

หลายคนใช้คำ " ผูกพัน " ในความหมายที่ผิด

ความผูกพันนั้นมิได้หมายความว่า คุณทั้งสองจะต้องมีความสนใจในสิ่งต่างๆ เหมือนกัน มีกิจกรรมร่วมกันหรือต้องใช้เวลาอยู่ด้วยกัน (เกือบ) ตลอดเวลาถ้าวันไหนไม่ได้เจอะเจอกัน ก็จะเป็นจะตาย กระสับกระส่าย ทุกข์ทรมาน พาลจะหมดกำลังใจในชีวิตพอเขากลับมา เหมือนปลากระดี่ได้น้ำ
บางคนหงอยเหงา เดียวดาย อ้างว้าง ในยามห่างไกล " คนรักผู้รู้ใจ "
บางคนอึดอัด รุ่มร้อน ในยามใกล้ชิดสนิทแน่นกับ " คนรักผู้เร้าใจ "

จิตอันกวัดแกว่งระหว่างสองขั้วของความรู้สึก " อัตคัดกับอัดแน่น" ภายใต้กรงขังของความรักที่กลายเป็นเครื่องจองจำจิตใจจนมิได้สัมผัสความรู้สึกอิสรภาพหากเป็นสภาวะดังกล่าว แสดงว่าความรู้สึกได้ก้าวพ้นข้ามแดนความผูกพัน ไปสู่ " การผูกมัด "

การผูกมัด มีสองกรณี

เขาผูกมัดใจเรา ด้วยการกำหนดกรอบพฤติกรรมตามที่เขาปรารถนา มีพื้นฐานมาจากความรู้สึกหึงหวง (Jealousy) ทำให้เราอึดอัดยามอยู่ใกล้กัน

เรามีใจผูกมัดกับเขา อยากอยู่ใกล้ชิดเป็นประจำ ขาดเขาไม่ได้ มีพื้นฐานมาจากความรู้สึกพึ่งพิง (Dependency) ทำให้เราเหงาหงอยยามอยู่ไกลกัน
คาริล ยิบราน (Kahlil Gibran) นักเขียนและกวีชาวเลบานอน ผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนโลกจากหนังสือ The Prophet ได้กล่าวถึงความรักด้วยภาษางดงาม ตัดตอนสั้นๆ มาดังนี้

"…Love one another but make not a bond of love :
Let it rather be a moving sea between the shores of your souls.
Fill each other's cup but drink not from one cup.
Give one another of your bread but eat not from the same loaf.
Sing and dance together and be joyous, but let each one of you be alone,
Even as the strings of a lute are alone though they quiver with the same music.
…And stand together, yet not too near together;
For the pillars of the temple stand apart,
And the oak tree and the cypress grow not in each other's shadow."


"…เธอทั้งสองจงรักกัน แต่อย่าสร้างพันธะแห่งรักนั้น
ขอให้รักเป็นเสมือนดั่งคลื่นทะเลที่โหมพัดอยู่ท่ามกลางชายฝั่ง
แห่งจิตวิญญาณของเธอทั้งสอง จงเติมเต็มในถ้วยของกันและกัน
แต่อย่าดื่มจากถ้วยเดียวกัน จงแบ่งปันขนมปังแก่กัน แต่อย่ากัดกินจากก้อนเดียวกัน
จงร้องและร่ายรำด้วยกันอย่างเริงร่า แต่ก็เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายเริงรำด้วยตนเอง
เฉกเช่นสายพิณอันโดดเดี่ยว แต่ร่วมกันขับขานเสียงท่วงทำนองของเพลงเดียวกัน
และจงยืนด้วยกัน แต่อย่าเบียดชิดกันมากเกินไป
เพราะแม้เสาวิหารก็ตั้งตระหง่านเป็นระยะๆ
" ต้นโพและต้นไทร " ก็มิอาจเติบโตภายใต้ร่มเงาของกันและกันได้ "">
ความผูกพัน (Intimacy) ที่แท้จริงคนทั้งสองต้องสามารถแสวงหาความสุขได้ทั้งในยามใกล้ชิด และแม้เมื่อต้องอยู่ห่างกัน แต่ละคนยังดำรงชีวิตตามวิถีแห่งตนโดยไม่เป็นทุกข์


จงอย่าใช้ความรักเป็นเครื่องมือในการกักขังหน่วงเหนี่ยวอีกฝ่ายด้วยความ " แหนหวง" ที่ถูกลวงด้วยคำ " ห่วงใย " เพราะความแหนหวงหรือหึงหวงเปรียบเสมือนโซ่ตรวน พันธนาการของจิตใจ

รักแท้ (True love) ต้องก่อให้เกิดอิสรภาพและการเติบโตทางจิตวิญญาณ เป็นสัมมาทิฐิที่ต้องสร้างทั้งความสัมพันธ์ฉันท์ผัวเมีย รวมทั้งพ่อแม่ลูก

ที่มา นพ.สุกมล วิภาวีพลกุล
ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
undefined
undefined
undefined

ทำไงให้แฟน กลับมารักมาหลง ?



ทำไงให้แฟน กลับมารักมาหลง?
ท่านผู้อ่านสนใจอยากทราบเหลือเกินว่า ทำไงน้า แฟนของหล่อนถึงจะทำดีหันมา “สนอกสนใจ” เธออีกครั้ง และ “ยอมอ่อนข้อ” ให้แฟนบ้าง ไม่ใช่เห็นหน้ากันเมื่อไหร่เป็นไม่ได้ เอาแหละ ตีหน้าเป็นตูดบูดบึ้งเข้าใส่ หรือ ทำเป็นไม่สนใจไยดีกะแฟนที่น่าร้ากอย่างเธอ?

อู้ย...คำถามนี้ แสดงว่า หนูกะแฟนน่ะคบกันมานานพอสมควรแล้วใช่มะ ถึงได้ไม่ค่อย “สบ อารมณ์” เวลาพบหน้าแถมไม่อยากเข้าใกล้กันเหมือนสมัยแรกรักหรือจีบกันใหม่ๆน่ะสิ ใช่ปะ นี่ล่ะหนา อยู่ด้วยกันนานวันเข้า ถ้าไม่เลิฟกันหนึบหนับจริง ย่อมมีโอกาสที่จะเห็นเค้าเปลี่ยนไปงี้ละฮ่ะ

ดังนั้น ถ้าอยากให้เค้ากลับมาเป็นคนน่าเลิฟอย่างที่อีกฝ่ายต้องการละก็ ฝ่ายหญิงนั่นแหละที่ควรปรับปรุงตัวเองซะก่อน อย่าเพิ่งสะเออะไปปรับหรือไปเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวเค้าเลยจ้า อ่ะก็เหมือนอย่างคำที่พูดกันบ่อยๆแหละว่า ในเมื่อเราเปลี่ยนคนอื่นให้เป็นอย่างที่เราต้องการไม่ได้ โดยเฉพาะด้วยการบังคับนี่ไม่ง่ายแหงๆ งั้นก็ควรเปลี่ยนตัวเราเองให้ เป็นที่พึงปรารถนาของเค้าซะก่อนซิยะ แล้วเชื่อดิ่ เดี๋ยวเค้าก็จะกลับมาเป็นแฟนแสนดีของคุณอีกครั้งแน่นอน...เฮ

ดังนั้น “ผู้มีแฟนแล้วและต้องการให้แฟนหันมา สวีตหวานกันเหมือนเดิม” คงต้องลงมือสร้างบรรยากาศแห่งความหวามไหว เพื่อให้เค้าอยากกลับบ้านมาพบคุณทุกวี่ทุกวัน ไม่ใช่กลับบ้านเหมือนกัน แต่เค้ากลับบ้านแบบหลบลี้หนีหน้าคุณตลอด หยั่งงี้ “รักหลวม” เกินไป ต้องลองไขนอตทำให้เลิฟบังเกิดขึ้นอีกครั้ง ซะแล้ว ด้วยการ.....

1. หัดสื่อสารระหว่างกันให้ มากขึ้น
เช่น ขยันสอบถามความคิดเห็นของอีกฝ่ายนึงบ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาอยากทำอะไร, ซื้ออะไร, กินอะไร, ไปเที่ยวที่ไหน ซึ่งขออุบอิบก่อนว่าเป็นเรื่องของส่วนรวมนะ ก็ควรถามคู่ของคุณมั่ง ไม่ใช่นึกอยากทำอะไรก็ทำคนเดียว แต่บางทีก็น่าต่อว่าอีกข้างเหมือนกัน เพราะคุณอาจเคยรอถามเค้า แต่เค้าดิ่ไม่รู้หายหัวไปไหน คล้ายกะว่า ถ้าเป็นเรื่องในบ้าน เค้าก็ปล่อยให้คุณตัดสินใจไปคนเดียวก็พอ ขี้เกียจไปปวดหัวด้วย เลยยกหน้าที่นี้ให้เจ้าแม่ทำไปซะเลย

แหม ถ้าให้ทำงี้แล้วปล่อยเงินมาให้ด้วยก็ดีหรอก แต่หนุ่มๆบางคนไม่ใช่งั้นดิ่ ประเภทยกหน้าที่ในบ้านให้ฝ่ายหญิงรับไปทั้งงานบ้านและรับผิดชอบเรื่องหาเงินทองเข้าบ้านด้วย.....ก็โห ไอ้นี่ถ้าจะเป็นพวก “จับสาวมือเปล่า” ละมั้งเนี่ย แต่ หากฝ่ายหญิงโอเค ไม่ซีเรียสเรื่องนี้...ก็แล้วไป กลัวแต่ตอนแรกฝ่ายหญิงไม่คิดอะไร แต่ต่อไป “ฝ่ายชาย” นั่นแหละ จะคิดว่าตัวเองไม่มีศักดิ์ศรีอะไรเลย แล้วพาลทำตัวเกเรกะสาวน่ะซี ดังนั้น ช่วยหันหน้ามาคุยกันสักนิดเถอะจ้า ว่าเค้าคิดอย่างไร และเธอคิดอย่างไร ยิ่งคุยกันได้ ทุกเรื่อง ไม่ว่าเป็นเรื่องมีสาระหรือไม่มีสาระก็คุยซะ แล้วเดี๋ยวความเข้าใจก็จะเกิดขึ้นมาใหม่ แทนความผุพังที่เกือบจะไปกันไม่ รอดเองแหละ

2. พูดชมเชย เยินยอ และยกย่องเค้าบ่อยๆ
โอ้โห เห็นนะว่ามีผู้ชายบางคนชอบให้แฟนป้อยอเพราะตัวเค้าเป็นคนป้อแป้, ไร้ประสิทธิภาพจนไม่ค่อยมีคนภายนอกยอมรับ จึงอยากให้คนของตัวยอมรับนับถือแทนยังมีให้เห็นเล้ย

อีกอย่าง อยู่ด้วยกันก็ควรชมกันมั่งฮี่ ไม่ใช่ไม่ เคยชมว่า เค้าทำอย่างงั้นดีนะ หรือทำอย่างนี้วิเศษจัง เพราะมัวอมก้อนหินเอาไว้ในปาก จนชมคู่ของตัวไม่เป็น, พิกุลไม่ร่วง ก็เริ่มหัดทำให้มันร่วงได้แล้ว

มีหลายคู่เลยที่เก้อเขิน ไม่รู้ว่าจะ “ชมเชย” กันยังไง แต่ถึงแม้จะเขินขนาดไหน ก็หัดชมเข้านะ ถ้ายังปรารถนาให้คู่ของคุณอยากเข้ามาอี๋อ๋อ, เจ๊าะแจ๊ะ และแตะต้องคุณอยู่ละก็ จะกลั้นใจชมก็ทำๆซะวันนี้ ไม่งั้นขืนเค้าไปสำเริงสำราญบวกด้วยแตะเนื้อต้องตัวคนอื่น แต่ไม่ยอมแม้แต่จะจับมือแฟน ก็โอ๊ยโหยวนี่น่ะเป็นสัญญาณ อ.ต.ร. อันตรายของแท้น่ะสิฟะ ดังนั้น ต้องดึงใจเค้าให้มาหาคุณให้ได้ ด้วยการชมนู่น ชมนี่ ชมในสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์อันดีงามของเค้าละกัน ส่วนเรื่องไม่ดีของเค้าก็อย่าไป “ชมแบบประชด” เด็ดขาด

3. ห้ามพูดขึ้นเสียง, พูดตวาด และพูดซ้ำซาก ฯลฯ
ก็รู้นี่นา ว่าไม่มีใครอยากโดนแฟนอารมณ์เสียใส่ แถมหากโดนประจานซะเสียงดัง ให้เพื่อนบ้านได้ยินไปทั่วหมู่บ้าน, ทั้งหอพัก, ทั้งอพาร์ตเมนต์ หรือไม่งั้นก็ทั้งคอนโดฯ ก็เกินไป ดังนั้น ถ้าคุณคนเก่าเคยเป็นคนอารมณ์บูดง่าย หรือหากไม่ พอใจอะไรคนใกล้เคียงขึ้นเมื่อไหร่ ก็ อย่าเพิ่งตบะแตก ชวนทะเลาะ เมื่อเค้าทำอะไรให้คุณไม่สบ อารมณ์ขึ้นมาซะล่ะ ตรงข้ามคุณควร “เก็บความ รู้สึกไม่พอใจ” นี้ไว้ แล้วลืมเรื่องที่สร้างน้ำโหนั้นอย่างรวดเร็ว เอ้า ขืนคุณย้ำคิด ย้ำทำ ย้ำวนเวียนไปหาเรื่องที่ทำให้ทั้งคู่เกิดความไม่สบายใจนี้ไปเรื่อยๆ ชีวิตเลิฟคงเลิฟกันได้อีกไม่นานหรอกยะ ทางที่ดีจึงทำใจดีสู้เสือเข้าไว้ดีกว่า ถ้ายังอยากให้เค้ารักเค้าหลงนะ

4. หัดจุมพิต, จูบ หรือหอมแก้ม เค้าซะบ้าง
ไม่ต้องรอให้เค้าอยากจูจุ๊บคุณขึ้นมาก่อน คุณถึงค่อยตอบสนองเค้านะ ถ้าอยากจุ๊บเค้าก็ทำได้เลย เอ้า ในเมื่อหล่อนอยากให้แฟนยังมีใจอยู่กับหล่อนนี่หว่า ไม่ใช่มีแต่ตัว ทว่าหัวใจลอยเคว้งคว้างไปอยู่ กะใครซะแล้วก็แย่ดิ่ งั้นมามะ มาแจกคิส (Kiss) จุมพิตเค้ากันเถอะ แต่ก่อนจะยื่นปากไปจูบเค้าน่ะ ควรมั่นใจหน่อยนึงก่อนนะเฟ้ยว่า กลิ่นปากของคุณสะอาด หอมสดชื่น และไม่มีเศษชิ้นส่วนอาหารติดฟันแน่นะ เผื่อเวลา “ตบจูบ” เอ้ย เวลาประกบปาก เค้าจะได้รู้สึกวาบหวิว เอ๊ะ หรือคุณวาบหวามกันแน่ แหม พอได้แต๊ะอั๋งเค้าเข้ามั่ง โอ้โห ปากคองี้สั่นเชียว แถมใจยังสั่นจนอยากให้เค้าจูงมือเข้าห้องหอเหมือนเมื่อครั้งแรกรักเลยเชียวเรอะฮ้า.

undefined
undefined
undefined

ถ้าไม่อยากเป็นผู้หญิงน่าเบื่อ ก็ควรละซะ



ถ้าไม่อยากเป็นผู้หญิงน่าเบื่อ ก็ควรละซะ 9 สิ่งดังต่อไปนี้

ผู้หญิงบางคน ( อาจรวมถึงตัวคุณเองด้วยก็ได้นะคะ ) ชอบโวยวาย ว้ายกรี๊ดในทำนองว่าฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา แล้วทำไมทั้งเพื่อน ทั้งแฟนถึงได้ซิ่งหนีกันไปหมด?” “เอ๊ะ! เราก็ดีกับเขาสารพัดอย่าง แต่ไหงมองเราเป็นยัยตัวแสบ ก็ไม่รู้ซินะ?”

เอาเป็นว่า ถ้าเพื่อนๆ ของคุณนัดกันไปช้อปปิ้ง ดูหนัง ไปปิคนิค หรือว่าไปเชียร์กีฬา ฯลฯ แล้วไม่บอก ไม่ชวนคุณไปด้วย หรือว่าเขาคุยกันอยู่กิ๊วก๊าวระรื่นเชียว พอคุณเข้าไปร่วมด้วยสักพักเดียวเลยกร่อยกันหมด หรือผู้ชายคนที่คุณรักคุณ เข้ามารักได้ไม่นานเท่าไร พอรู้ว่าคุณเป็นยังไงเขาก็หายหัวไป

อย่างนี้ล่ะก็คุณต้องพิจารณาตัวเองแล้วละคะว่า ตัวคุณน่ะมี โทษสมบัติเหล่านี้บ้างหรือเปล่า

เคร่งเครียดซีเรียสจัด
ขอให้เชื่อเถอะว่าคนที่มีอารมณ์ขันสามารถทำให้คนอื่นหัวเราะไปได้น่ะ ใครๆ ก็อยากเข้าวง แล้วคุณล่ะเคยเล่าเรื่องสนุกๆ กุ๊กกิ๊กให้เพื่อนคิกคักบ้างหรือเปล่า ก็ไม่ต้องถึงกับขำก๊ากเป็นตลกคาเฟ่หรอก แค่ให้ยิ้มหัวกันได้ก็เป็นเสน่ห์แล้ว แต่ถ้าอยู่ในที่ทำงาน คุณก็หน้าเครียดวางท่าเอางานเอาการซะเต็มประดา พอเลิกงานคุณก็ยังวางหน้าอย่างนั้นอีก เฉยชามึนตึง ไม่รู้ที่เล่นทีจริงใครทักก็พูดด้วยอย่างแกนๆ ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ ฯลฯ ลองเป็นแบบนี้ก็ไม่นานหรอกใครๆ จะตีกรรเชียงออกห่างจากคุณ เพราะหาความรื่นรมย์ไม่เจอเลยสักกระติ๊ด...เซ็งค่ะ

ขบกัดสะบัดเขี้ยว
มีนิสัยชอบจับผิดคนอื่น แล้วก็วิพากษ์วิจารณ์ออกมาตรงๆหรือเก็บเอาไปนินทาลับหลัง ถึงแม้ว่าคุณจะรู้จริงแล้วอดวิจารณ์ออกมามาได้ หรือว่าวิจารณ์เพราะคุณขี้อิจฉามีปมด้อยให้ใครดีใครเด่นไม่ได้ ต้องหาเหตุมาตำหนิติเตียนจนได้ แน่ล่ะ! คนที่ฟังคุณอยู่ก็ย่อมเอิ๊กอ๊ากสะอกสะใจไปด้วย แต่แล้วพวกที่ฟังนั้นแหละจะค่อยๆ ขยาดปากคุณ ไม่อยากจะคบด้วยเพราะเกรงว่าจะถูกคุณเก็บไปเป็นเหยื่อลับหลังไงคะ

ชอบจุ้นจ้านสั่งสอน
พวกนี้น่าจะไปเป็นอาจารย์แนะแนวหรือคุมห้องปฎิบัติการซะให้รู้แล้วรู้รอด เพราะไปที่ไหนก็อดไม่ได้ที่จะแนะนำสั่งสอนเช่น ไปบ้านเพื่อนก็เล็งแลไปทั่วห้องรับแขก แล้วก็แนะเชียวว่าม่านหน้าต่างไม่เหมาะยังไง โต๊ะรับแขกตั้งมุมนี้ไม่เหมาะ ตู้โชว์ใบนั้นก็ไม่เข้ากับเครื่องลายครามที่อยู่ในตู้ ฯลฯ ต้องยังงั้นยังงี้ถึงจะถูกต้อง บางทีแนะไปถึงเรื่องอาชีพของสามี เพื่อน และการเรียนของลูกเพื่อนด้วยกันอีกแน่ะ ว่าควรทำไอ้โน่นจะรวยเร็วกว่า หรือว่าเรียนไอ้นี่จะหางานทำง่ายกว่า ชะดีชะร้ายกับสั่งสอนเพื่อนผู้เป็นเจ้าของบ้านว่า เธอต้องอ้วนกว่านี้อีกนิดหรือผอมกว่านี้อีกสักหน่อย ไม่งั้นฝาละมีเธอไปมีเมียน้อยแน่ๆ เฮ้อ...อีแบบนี้ใครอยากจะเปิดประตูต้อนรับในคราวต่อไปอีกละคะ...ถามตรงๆ เถอะ

ช่างติแถมขี้บ่น
นี่ก็เป็นคนอีกประเภทหนึ่งที่ทำลายเสน่ห์ของตัวเองให้เหือดหายไปได้อย่างชะงัดดีนัก ซึ่งโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง เพราะไม่มีใครเขาจ้างวานใช้เลยสักนิกเดียว แต่เกิดขึ้นเพราะตัวเราเอง จิตไม่ว่างแถม ผีเจาะปากมาให้พูด คนประเภทนี้เห็นอะไรนิดหน่อยก็สามารถติได้เป็นคุ้งเป็นแคว เรียกว่าอะไรผ่านเข้ามาในสายเป็นจับมาเป็นข้อติฉินได้หมด จะมีมูลความจริงหรือเปล่า สมเหตุสมผลหรือไม่ ไม่สนใจ ขอให้ได้ติได้ประเมินค่าในขั้นต่ำหรือในแง่ลบไว้ก่อนเป็นพอใจ อีกพวกหนึ่งเป็นพวกที่ไม่ติอะไรตรงๆ หรือรุ่นแรง แต่ชอบบ่น บ่นได้สารพัดเรื่อง ขี้หมูรา ขี้หมาแห้ง ฝนตกก็บ่นหยุดก็บ่นอีก เช่น เดินเข้าไปในกลุ่มเพื่อนๆ ที่เขากำลังคุยกันเพลินๆ เรื่องอะไรอยู่ก็ไม่สนใจแล้วเปิดปากบ่นเรื่องรถติดทำให้มาช้าเป็นวรรคเป็นเวร แล้วก็บ่นต่อเรื่องแอร์ในห้องทำไมไม่ค่อยเย็น... โอ๊ย! สารพัดจะหยิบยกขึ้นมาบ่น แล้วเพื่อนหน้าไหนล่ะคะจะทนฟัง คนอย่างนี้แหละที่เพื่อนจะหายหน้าไปทีละคนสองคนจนหมดเพื่อน ถ้ามีสามี...สามีอาจจะขอปลีกวิเวกไปนั่งวิปัสสนาในคาราโอเกะก็ได้ สบายหูกว่าฟังเสียงบ่นเยอะเลย

ไม่เห็นความสำคัญของใคร
คติเก่าๆ ที่ยังขลังอยู่เสมอคือ ถ้าอยากให้เขารักคุณ คุณก็ต้องรักเขาก่อน เป็นจิตวิทยาขั้นพื้นฐานเลยทีเดียว...หากคุณต้องการเป็นที่รักของใคร คุณก็ต้องรู้จักเป็นผู้ฟังที่ดีในขณะที่เขาพูด แสดงความสนใจในสิ่งที่เขาพูดเล่า ถ้าเสริมคำถามที่เหมาะเจาะได้ด้วยยิ่งดี แต่ถ้าขณะที่เขาพูดอยู่นั่นคุณทำเป็นเมินเฉย ไม่ใส่ใจที่จะฟังหรือเมินมองไปทางอื่น ทำเหมือนกับว่าที่เขาพูดอยู่นั้นเป็นเสียงนกแก้วนกขุนทองไม่เห็นจะน่าสนใจเลย ถ้าคุณยังทำอย่างนี้กับหลายๆ คน อีกหน่อยคุณก็จะกลายเป็นคนที่ถูกเมินเหมือนกัน ในเมื่อคุณไม่เห็นความสำคัญของคนอื่นได้ คนอื่นเขาก็คิดและทำอย่างคุณเป็นเหมือนกัน...เกลือจิ้มเกลือว่างั้นเถอะ

อะไรๆ ก็รู้ไปหมด
ความรอบรู้ของคนเราน่ะพอจะแบ่งออกเป็นได้ 2 ประการคือรู้เรื่องชาวบ้านใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่โดยเฉพาะเรื่องไม่ดีไม่งาม คุณทำเป็นรู้หมด แถมยังทำตัวเป็นหอกระจายข่าวเอาไปนินทาโพนทะนาให้คนอื่นๆ รู้ต่ออีกด้วย ซึ่งใครๆ ก็อยากฟังเพราะเรื่องพรรค์นี้อร่อยรูหู แต่ลึกๆ ลงไปแล้ว พวกที่ฟังคุณอยู่นั้นก็ชักไม่ไว้วางใจคุณ ไม่อยากจะคบด้วย ถ้าต้องคบก็คบอย่างผิวเผินเพราะเกรงว่าถ้าสนิทมากๆ แล้วคุณจะเอาความไม่ดีของเขาไปแฉโพยในวงอื่น ส่วนอีกประเภทหนึ่งคือรู้เรื่องเนื้อหาสาระทั่วไปเช่น ข่าวสารบ้านเมือง เรื่องศิลปะบังเทิง กีฬา แฟชั่น ดูโหงวเฮ้งก็ได้ ดูลายมือก็เป็น ฯลฯ ครอบจักรวาลไปหมดจนกลายเป็นสารานุกรมเคลื่อนที่ ถามอะไรตอบได้หมด ซึ่งก็น่าภาคภูมิใจไม่น้อยที่มีภูมิรู้ แต่บางทีการแกล้งไม่รู้ซะบ้างจะทำให้คุณมีเสน่ห์มากขึ้นไม่ใช่พอ ใครๆ พูดอะไรขึ้นมาคุณก็แจงเพิ่มแบบว่ารู้จริงรู้สึกมากกว่า หรือใครพูดอะไรคลาดเคลื่อนนิดๆ หน่อยๆ คุณก็ไม่ยอมปล่อยไปแต่กลับหักล้างแก้ไขทันควันโดยไม่เห็นแก่หน้าใครเลย...ระวังเถอะสักวันหนึ่งจะไม่เหลือใครนั่งฟังความรู้ของคุณเลยสักคน แล้วจะเหงาปาก เว้นเสียแต่คุณจะเปลี่ยนอาชีพไปเป็นครูบาอาจารย์ก็แล้วไป

ถือตัวเองเป็นใหญ่
ถ้าคุณคาดหวังจะให้ทุกคนเออออห่อหมกไปกับคุณทุกอย่าง เห็นพ้องด้วยกับคุณทุกประเด็นที่คุณเสนอ หรือชี้แนะหรือนิยมชมชอบในสิ่งเดียวกับคุณ ฯลฯ นั้นถือได้ว่าคุณคาดหวังมากเกินไปแล้ว เพราะแต่ละคนก็มีสติปัญญา มีความคิดความเชื่อ และรสนิยมเป็นของตัวเอง พอไม่ได้ดังใจคุณก็โกรธเขา โดยไม่ยอมเปิดใจให้กว้างฟังเหตุผลของคนอื่นๆ ถ้าคุณยังถืออัตตาธิปไตยเหนือประชาธิปไตยอย่างนี้ละก็ต่อไปคุณก็ได้อยู่คนเดียวสมใจ เพราะไม่มีใครยอมให้คุณจูงจมูกหรอก หากว่าเขาไม่ได้หวังผลประโยชน์อะไรบางอย่างจากคุณ ที่มันคุ้มกับการแกล้งโง่!

มองโลกในแง่ร้าย
อันที่จริงคนที่มองโลกหรือมองคนอื่นในแง่ร้ายไว้ก่อนนั้น พอจะกล้อมแกล้มอ้างได้ว่าเป็นคนถี่ถ้วนรอบคอบไม่ประมาณ เป็นการกันไว้ดีกว่าแก้ นั้นก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าคุณเห็นอะไรเลวร้ายน่าหวดระแวงขวางหูขวางตาหรือไม่น่าไว้วางใจไปหมด เช่น เพื่อนจริงใจด้วยคุณก็หาว่าเขาเสแสร้งแกล้งทำ เพื่อนเก่าแวะมาเยี่ยมก็วิตกร้อนรุ่มว่าเขาจะมายืมเงินหรือเปล่า อะไรทำนองนี้ จะทำให้คุณขาดเพื่อนลงไปเรื่อยๆ เพราะคุณเห็นใครก็ระแวงไปหมดจนไม่อยากคบใคร ถ้าเป็นอย่างนี้ล่ะก็ ตัวคุณเองนั้นแหละจะเสียทั้งเพื่อนและเสียทั้งสุขภาพจิต ลองหัดมองโลกและคนอื่นในแง่ดีบ้าง ถึงแม้พวกเขาจะมีส่วนไม่ดีอยู่บ้างก็ควรอภัยซะ โดยถือคติที่ว่า ไม่มีใครดีพร้อม แม้แต่ตัวเราเองถ้าทำได้อย่างนี้คุณก็จะเป็นคนน่าคบในหมู่เพื่อน และคุณเองก็จะคบคนได้ง่ายมากขึ้นด้วย

โอเว่อร์เกินไป
จะว่าไปก็เหมือนพวกที่ไม่รู้จักทางสายกลาง หรือไม่รู้จักกาลเทศะนั้นแหละ คือชอบทำอะไรที่มันเกินพอดี...แต่ตัวหรูเริ่ดไปซะทุกงาน อวดเก่ง อวดรู้จนน่าหมั่นไส้ พูดมาก หัวเราะมาก ร้องไห้มากจนน่ารำคาญ เพราะไม่สมเหตุผล เสแสร้งประจบสอพลอจนจับได้ ชวนให้เอียน บ้างก็บ้าอำนาจหลงตัวเอง ยกตนข่มท่าน หรือชอบแนะชอบสอนจนไม่มีใครอยากเข้าใก้ล ฯลฯ แล้วจะโทษใครถ้าต้องถูกปล่อยเกาะ

เพียงแค่นี้ก็คงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนเพียงพอแล้วนะคะว่าทำไมบางคนจึงมีเพื่อนน้อยลงเรื่อยๆ ลองสำรวจตัวเองนะคะ ถ้ามีข้อหนึ่งข้อใดหรือหลายข้ออยู่ในพฤติกรรมของคุณละก็ เปลี่ยนเสียเถอะค่ะ แล้วคุณจะกลายเป็นที่รักของใครต่อใครเพิ่มมากขึ้นอย่างนึกไม่ถึงทีเดียว...เริ่มวันนี้เลยนะคะ..??

undefined
undefined
undefined

คบกัน ก็ต้องเข้าใจกัน


คบกัน ก็ต้องเข้าใจกัน


เมื่อคุณคบกับแฟนมาได้สักพักนึงแล้ว
อาจจะสงสัยว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าคนคนนี้คือคนที่เราควรจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วย อาจจะมองว่า
เรามีอะไรหลายๆอย่างเหมือนกัน เรามีความสนใจที่เหมือนกัน เราไม่เคยทะเลาะกัน เราชอบทานอาหารชนิดเดียวกัน
พ่อแม่ของเราทั้งคู่ก็เห็นดีเห็นงามด้วย
หรือเราอยากจะอยู่ใกล้ๆเขาหรือเธอตลอดเวลา
สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวชี้หรือเปล่าว่า
เขาเป็นคนที่เราเฝ้ารอและอยากจะใช้ชีวิตกับเค้าจริงๆ

คำตอบที่ดีที่สุดในการตัดสินว่าเค้าเป็นคนที่ใช่หรือไม่
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราชอบและหลงรักเขาตรงไหน
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นส่วนจำเป็นที่ทำให้เราเลือกเค้ามาอยู่เคียงข้างตลอดเวลา
หากแต่ต้องมองไปในทางตรงกันข้าม คือส่วนที่แย่ๆของเขาหรือเธอต่างหาก
การได้ยอมรับส่วนที่แย่ที่สุดของเขาได้ จะนำพาชีวิตคู่ให้เป็นสุขต่อไป
เมื่อสิ่งที่เราได้พบเจอนั้นเรียกว่าแย่ที่สุดแล้ว..
และคิดว่าในอนาคตคงไม่มีอะไรที่แย่ไปกว่านี้อีก แล้วเรายอมรับได้
เมื่อนั้นก็คงถึงเวลาตัดสินใจแล้วว่า ถ้าเราใช้ชีวิตที่เหลือกับคนคนนี้
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปก็คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไป
เพราะเหตุผลส่วนมากที่ทำให้คนสองคนไปกันไม่ได
้ก็เพราะต่างคนต่างปิดบังส่วนที่แย่ๆของตัวเองไม่ให้อีกฝ่ายรู้
และไม่คิดจะเปิดเผยเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายรู้เพราะกลัวว่าจะเสียเขาหรือเธอไป
ต่างคนก็มักจะนำเสนอแต่ส่วนดีๆของตัวเอง
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะบอกได้เลยว่าเราจะไปด้วยกันได้หรือไม่
ในที่สุดตัวเราก็ต้องเผยตัวจริงออกมา และเมื่อนั้นมันก็ต้องสิ้นสุดลงอยู่ดี
ถ้าคุณไม่โชคดีพอ

คู่ชีวิตไม่ได้เป็นแค่สามีหรือภรรยา ไม่ได้เป็นแค่พ่อหรือแม่ของลูก
แต่อยู่ด้วยกันในฐานะเพื่อน
ฐานะคนในสังคมเดียวกันที่ต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลาด้วย
หากเราไม่สามารถแสดงตัวของเราได้เต็มที่
หากเขาไม่สามารถยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างในตัวเราได้
ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะหลอกตัวเองว่าแค่ความรักจะทำให้ชีวิตคู่อยู่รอดได้
เพราะความรักยังมีวันจืดจาง
แต่ความเข้าใจและความผูกพันธ์จะทำให้ชีวิตคู่ยืนยาวต่อไปได้
undefined
undefined
undefined

20 นิสัยเสีย สาเหตุให้รักสะบั้น


20 นิสัยเสีย สาเหตุให้รักสะบั้น


1.ชอบทำตัวเป็นนักขุด
อย่าทำตัวเป็นนักขุด อ๋อ... ก็ขุดคุ้ย แต่เรื่องเก่าๆ ของแฟนเก่าคุณยังไงหล่ะ เพราะจะทำให้แฟนคนปัจจุบันของคุณ เกิดความ ไม่มั่นใจในตัวคุณ ในเมื่อคุณรักเขาแล้ว ก็ควรจะมีเขาคนเดียวในหัวใจ อย่าให้ปากของคุณ สร้างให้เกิดรอยร้าวในหัวใจ ฝ่ายตรงข้ามเลยนะจ๊ะ

2.ไม่ชอบรับฟังคนอื่น
ยอมรับฟังความคิดเห็น หรือรับฟังเรื่องราว ของเขาบ้าง ไม่ใช่ให้เขาเป็นฝ่ายรับรู้ และรับฟังแต่เรื่องของคุณอย่างเดียว อย่างนั้นมันไม่แฟร์

3. ชอบทำตัวเป็นเงาตามติดแจ
คุณควรแบ่งเวลาให้เขาอยู่กับสังคม และเพื่อนของเขาบ้าง ไม่ใช่มาคอยอยู่กับคุณ ตลอด 24 ชม. ขนาดคุณเองยังอยากมีเวลา ส่วนตัว หรือมีเวลาให้กับเพื่อนคุณบ้าง (แค่เอาใจเขามาใส่ใจเราเท่านั้นเอง)

4. ชอบออกคำสั่ง
มีแฟนนะจ๊ะ ไม่ใช่มีลูกน้อง เพราะฉะนั้น อย่าออกคำสั่งให้แฟนของคุณ ทำโน่นสิ ทำนั่นสิ อันนี้ดีทำนะ หรือว่าอย่างนั้นไม่ดี …อย่าทำ (ก็ยอมๆ เขาบ้างบางครั้ง ไม่ตาย หรอกเน๊อะ) ?

5. ยิ่งกว่ากรรไกร
อย่าทำตัวเป็นกรรไกร คอยตัดหรือฉีกหน้า แฟนคุณต่อหน้าคนอื่น ไม่ว่าในกรณีใดๆ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะห้ามเอาปมด้อยของเขา มาล้อเล่น อย่างสนุกสนานต่อหน้าคนอื่น แม้กระทั่งกับเพื่อนสนิทกันก็ตาม (ไม่มีใคร เขาชอบหรอกนะ)

6. ชอบซ้ำเติมข้อผิดพลาด
อดีตคืออดีตให้มันผ่านแล้วผ่านไปเถอะ ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบเอาเรื่องที่เขาผิดพลาดในอดีตขึ้นมาตอกย้ำอีก ก็จะทำให้ยิ่งทะเลาะ กันเข้าไปใหญ่ จะทำให้ยิ่งเพิ่มความแตกร้าว มากขึ้น

7. พกแฟนไปทุกสถานที่
อย่าคิดว่าเขาจะชอบทุกๆ สถานที่ ที่คุณพาไป นั่นเป็นความคิดที่ผิด บางงานเขา ก็อาจไม่อยากจะไปก็ได้ หรือไม่ ถ้าคุณมีเพื่อน ไปด้วยแล้ว ละวางเขาบ้างก็ได้ ไม่ต้องทำตัว เป็นปาท่องโก๋ตลอดเวลา

8. ขี้หึงสุด..สุด
หึ่ง หึ่ง ไม่ใช่เสียงผึ้งหรอกนะคะ แต่เป็นอาการหึง ลมออกหูของคุณต่างหาก
แฟนคุณเค้าจะมีเพื่อนที่เป็นผู้หญิงเพศเดียวกับคุณบ้าง ก็ไม่เห็นเป็นไร ทีคุณยังมีเพื่อนผู้ชายตั้งเยอะ การคบกันก็ต้องมีความไว้ใจ ซึ่งกันและกัน ความรักถึงจะยืนยาว

9. ความคิดตัวเองเป็นใหญ่
ลองหันหน้ามาปรึกษาแฟนคุณบ้าง เวลาที่คุณ ต้องทำนัดหมาย
ยอมให้เขามีส่วนร่วม และรับรู้ในเรื่องต่าง ๆ บ้าง อย่าลืมนะว่า สมัยนี้มันประชาธิปไตยแล้วจ๊ะ การที่คุณ ตัดสินใจตลอดเวลา ด้วยตัวเองมันเหมือนกับ เป็นการบังคับเขาทางอ้อมนะ

10. จุกจิก จู้จี้
อย่าทำตัวเป็นคนแก่ ไม่เอา... ไม่เอานะ ในช่วง คบกันแรก ๆ เขาอาจจะทนได้ แต่พอนานวันเข้า อันนี้ไม่รับประกัน เพราะความอดทนอาจจะหมดไป เหลือไว้แต่ ความรำคาญใจก็ได้นะเออ

11. เป็นคนช่างตำหนิ
อย่าคิดว่าความคิดหรือข้อเสนอของเขา เป็นเรื่องไร้สาระ ไม่น่าฟัง ไม่เข้าท่า ไม่มีใคร ทนได้ หรอกนะที่จะมี คนมาคอย ตำหนิติเตียนอยู่ตลอดเวลา

12. พูดชม หรือให้กำลังใจ ใครไม่เป็น
ไม่เค๊ย ...ไม่เคยที่จะเอ่ยปากชมแฟนของคุณ เวลาที่เขาทำดีให้คุณ อย่างนี้ต้องหัดแล้วนะ ควรทำบ้าง แต่ก็ไม่ใช่เว่อร์จนเค้าคิดว่า ประชด

13. คุณประชดหล่ะ
คำขอโทษไม่เคยหลุด ออกจากปาก I'm so sorry หัดกล่าวคำขอโทษซะบ้าง เวลาที่คุณทำผิด การยอมรับความผิดแต่โดยดี จะให้เขารู้สึกว่าคุณมีความรับผิดชอบและทำให้เขาไว้วางใจ

14. ช่างดุ…ช่างด่า
ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบด่าว่า แฟนคุณเสีย ๆ หาย ๆ ต่อหน้าคนอื่นเลิกเถอะค่ะ เพราะนี่เป็นข้อสำคัญที่ทำให้ความรักของคุณ เกิดรอยร้าวแบบประสานไม่สนิทนะคะ เพราะการทำแบบนี้ทำให้เขาเสียหน้า และโกรธคุณมาก

15. ขี้งอน
ส่วนมากเวลาผู้หญิงโกรธ มักจะทำหมางเมิน ไม่พูดไม่จา ที่เคยพูดน้ำไหลไฟดับจนลิงหลับก็เงียบสนิท แบบนี้ไม่ work คุณควรจะบอกว่า โกรธเขาเรื่องอะไร จะได้ปรับความเข้าใจ กันได้ง่ายขึ้น และเขาก็จะได้ง้อคุณให้ถูกวิธี ยังไงหล่ะ

16. ขี้บ่น
บ่น บ่น บ่น บ่นเช้า กลางวัน เย็น ไม่รวม ไปถึงเวลาอาหารว่าง คิดดูแล้วกันว่า ถ้ามีคนขี้บ่นอยู่ใกล้ๆคุณ คุณจะรำคาญ ขนาดไหน แล้วอย่างนี้ถ้าคุณขี้บ่น แฟนคุณจะรู้สึกอย่างไร

17. ซ๊กม๊ก เป็นที่หนึ่ง (ซ๊กม๊ก แปลว่า สกปรก)
การเป็นผู้หญิง สำคัญที่สุดคือเรื่องของความสะอาด ไม่มีผู้ชายคนไหนยอมทนคบผู้หญิงที่ไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย สกปรก วางของระเกะระกะ ไม่เป็นที่เป็นทาง เพราะผู้ชายส่วนมากมักวาดฝันว่าแฟน ของตัวเอง อย่างน้อยต้องมีความเป็นกุลสตรี บ้างซัก 10 หรือ 20 เปอร์เซนต์ก็ยังดี

18. โกหกเป็นไฟ
อย่าหัดเป็นคนโกหก เพราะมันจะติดเป็น นิสัย มีอะไรก็พูดตรงๆ แต่ไม่ใช่แบบขวาน ผ่าซาก หรือแบบมะนาวไม่มีน้ำ ชอบทำตัวเป็นแม่ เป็นคนไม่หวาน …เอาซะเลย

19. ฮั่นแน่ นี่แฟนนะ ไม่ใช่แม่
เพราะฉะนั้น อย่าริทำตัวเป็นคุณแม่คนที่สอง หรือ ผู้ปกครองคนที่สองของแฟนคุณเด็ดขาด อย่าไปคอยบงการชีวิตของเขา สั่งสอนเขา เหมือนเขาเป็นลูกคุณ ทำแบบนี้จะเพิ่มความกดดันให้เขาต่อต้านคุณ ไม่ยอมคุณ ถึงแม้ว่าบางสิ่งที่คุณพูด อาจจะถูกก็ตาม

20. เป็นคนไม่หวาน … เอาซะเลย
คุณลืมความหวานชื่นในอดีตไปแล้ว ว้า... อย่างนี้รักของคุณก็ขาดน้ำตาล หรือความหวานนะสิ คุณน่าจะลองรำลึกถึงอดีตหวานๆ กับแฟนบ้าง เพราะมันจะทำให้ความรัก ของคุณคงอยู่ แบบไม่จืดจาง

undefined
undefined
undefined

10 วิธี ทะเลาะกับคนรักอย่างสร้างสรรค์



การใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน ก็ต้องมีทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง วันนี้เรามี 10 วิธี ของการทะเลาะกับคนรักอย่างสร้างสรรค์ จะได้ช่วยให้การทะเลาะกันไม่ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักมาบอก...

1. ทะเลาะทีละเรื่อง อย่าขุดเอาความไม่พอใจเก่า ๆ ขึ้นมาพูดในทีเดียว เพราะแทนที่จะได้ข้อสรุปของหัวข้อที่ถกเถียงกันตั้งแต่แรก จะกลายเป็นการระเบิดสงครามอารมณ์ใส่กัน
2. อย่าจับผิดรายละเอียดเล็กน้อย อย่าเถียงกันว่าเขาลืมไปรับของสำคัญของคุณวันจันทร์หรือวันอังคาร ประเด็นคือ เขาลืมของสำคัญของคุณ ไม่ใช่ วันไหนที่เขาลืม

3. เริ่มต้นประโยคด้วยคำว่า ฉัน พูดว่า ฉันไม่พอใจเวลาคุณทำแบบนั้น แทนที่จะพูดว่า "คุณทำให้ฉันไม่พอใจเวลาทำแบบนั้น" การขึ้นต้นประโยคด้วยคำว่า คุณ จะทำให้ผู้ฟังรู้สึกกล่าวโทษ ขณะการขึ้นต้นด้วยคำว่า ฉัน คือการบอกกล่าวความรู้สึกของคุณ

4. อย่าพูดว่า "ไม่เคย" "เสมอ" "ควร" และ "ไม่ควร" เพราะเป็นคำที่ฟังดูแข็งกระด้าง และมีแนวโน้มจะทำให้ผู้ฟังไม่พอใจได้ง่าย และเอาเข้าจริงมันก็ไม่ถูกเสมอไป

5. ใช้เหตุผลและความคิดเห็นที่เป็นของคุณ อย่าพยายามชักแม่น้ำทั้ง 5 ด้วยการเอาความคิดเห็นของคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย พึงระลึกไว้เสมอว่า นี่เป็นเรื่องของคุณสองคนเท่านั้น

6. พยายามอยู่ในอิริยาบถผ่อนคลาย และอย่าลืมหยุดพักหายใจ การนั่งลงและอยู่ในอิริยาบถสบาย ๆ จะช่วยให้คุณสงบจิตสงบใจได้ดีกว่าการเดินพล่านไปทั่วห้อง

7. อย่าพูดคำหยาบคาย หรือด่าทอ การต่อว่าว่าเขาแสนจะขี้เกียจ อ้วนพุงพลุ้ย หรือคิดมากไม่เข้าเรื่อง ไม่เคยช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นได้เลย

8. พยายามสังเกตความรู้สึกของตัวเอง และบอกให้เขารับรู้ การบอกว่า "ฉันกลัวว่าคุณจะไม่รักฉัน" จะช่วยให้เขาเข้าใจคุณมากกว่าการพูดว่า " คุณทำตัวเหมือนไม่รักฉันเลย"

9. อย่าขัดคอ อย่าเถียงขึ้นมา ขณะอีกฝ่ายกำลังอธิบาย หรือเอาแต่พูดพล่ามยืดยาวอยู่ฝ่ายเดียว หรือไม่พูดอะไรเลยและหวังว่าจะให้เขาอ่านใจคุณออก

10. ขอเวลานอก หากคุณหรือใครคนใดคนหนึ่ง เริ่มรู้สึกรุนแรงจนอาจควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ควรหยุดการถกเถียงและแยกย้ายไปสงบจิตสงบใจสักพัก จนอารมณ์เย็นลงด้วยกันทั้งสองฝ่าย แล้วจึงค่อยมาปรับความเข้าใจกันใหม่
ถ้าไม่อยากทำลายความสัมพันธ์ระหว่างทะเลาะกัน ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

ที่มา นสพ.เดลินิวส์

undefined
undefined
undefined

7 วิธีให้เขารักคุณมากขึ้น


7 วิธีให้เขารักคุณมากขึ้น



วิธีปฏิบัติตัวแบบง่ายๆ ที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวคุณเองและจะนำไปสู่ความเข้าใจซึ่งกันและกันเริ่มจาก "คุณต้อง"

1.คุณต้องเรียนรู้เรื่องของอาหาร อาหารชนิดใด รสชาติแบบใดจะถูกใจเขา ผู้ชายบางคนไม่พิถีพิถันมากนักรับประทานอาหารแบบใดก็ได้ แต่รสชาตินี่ซิถ้าถูกปากแล้วล่ะก็ เป็นต้องอ้อนให้คุณทำอาหารให้รับประทานทุกมื้อแน่ คุณควรฝึกปรือเสน่ห์ปลายจวักไว้เปลี่ยนเมนูบ่อยๆ นะคะ

2.คุณต้องไม่ปล่อยตัวเกินไป รักษาสุขภาพของร่างกายไว้เสมอ แต่งเสริมเติมสวยด้วยความเหมาะสม ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วมักจะมองข้ามความสำคัญตรงนี้ โดยคิดว่าไม่จำเป็นต้องให้สะดุดตาใคร เป็นความคิดที่ผิด ลองดูนะคะ แต่งหน้านิด ปัดแก้มหน่อย ทาปากเล็กน้อย เติมน้ำหอมอีกสักนิด

3.ไม่ทำตัวเป็นคนจู้จี้ขี้บ่น หรือใช้คำพูดในเชิงบังคับให้เขาทำตามใจคุณ ไม่มีผู้ชายคนไหนชอบผู้หญิงที่จู้จี้ หรือประกบติดเขาตลอดเวลา เขาจะรู้สึกเหมือนนักโทษ ควรให้โอกาสเขาได้อยู่เงียบๆ คนเดียวบ้าง

4.คุณต้องไม่จ้องจับผิด เพราะการถูกจ้องจับผิดอยู่ตลอดเวลา ไม่มีผู้ชายคนไหนชอบ และจะรู้สึกว่าถูกบีบคั้น ปิดกั้นเสรีภาพ ไม่ให้เกียรติกัน ข้อเท็จจริงอีกอย่างที่คุณควรรู้คือ ผู้ชายที่กลัวภรรยามักจะโกหกเก่ง เพื่อเอาตัวรอดจากการถูกจ้องจับผิด

5.คุณต้องรู้จักให้อภัย เมื่อเขารู้ตัวว่าทำผิดและสารภาพกับคุณ คุณควรให้อภัยเขาและไม่ควรนำเรื่องนี้มาตอกย้ำในภายหลัง เพราะจะทำให้เขารู้สึกติดลบในตัวคุณ

6.คุณต้องโปร่งใส ไม่ควรโกหกกับเขาในทุกๆ เรื่องเพราะการโกหกแล้วเขาจับคุณได้ เขาจะมีความรู้สึกว่าถูกหลอก และระแวงขาดความไว้วางใจในตัวคุณ

7.คุณต้องเป็นคนเริ่มทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์เขาเป็นคนเริ่มใช่หรือไม่ ถ้าใช่คุณลองเปลี่ยนมาเป็นคนเริ่มดูบ้างซิ แล้วคุณจะรู้ว่าเขาหลงใหลในตัวคุณแค่ไหน

ไม่ยากเกินไปใช่ไหมคะ ที่คุณจะเริ่มทำตั้งแต่ตอนนี้ เพราะคนสองคนใช้ชีวิตร่วมกันย่อมมีความไม่เข้าใจกันบ้าง แต่อย่าให้ความไม่เข้าใจกันมาทำลายชีวิตคู่ที่คุณสองคนสร้างมา เพราะความสุขทางกายหาเมื่อไหร่ก็หาได้ แต่ความสุขทางใจนี่สิหายากยิ่งกว่า