
เมื่อความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวใกล้ชิดสนิทแน่นจนเป็น " ความรัก ความผูกพันต่อกัน "
หลายคนเข้าใจ "ความรัก" ในความหมายที่ผิด
แค่เห็นเขาครั้งแวบแรก แล้วเกิดอาการขนลุกซู่ชูชัน ภาพใบหน้าของเขา พุ่งกระแทกทะลุสายตา แล้วแผ่ซ่านไปทั่วเรือนร่างคล้ายโดนไฟฟ้าดูด เสมือนหนึ่งเคยทำบุญร่วมกันในชาติปางก่อนแล้วบอกกับตัวเองว่า " เขาคือเนื้อคู่ของฉัน…บุพเพสันนิวาสเป็นอย่างนี้นี่เอง "
เวลาไม่เจอหน้าเขาหรือต้องจากกันไกล ใจก็เฝ้าคิดถึง เป็นทุกข์ จนไม่เป็นอันกิน ไม่เป็นอันนอนแล้วบอกกับตัวเองว่า " เขามีความหมายต่อฉันมาก… ฉันจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีเขา "
อยากอยู่ใกล้เขานานๆ รู้สึกอบอุ่น ถ้าเขาไปอยู่ใกล้คนอื่น เราจะไม่พอใจอย่างยิ่ง แล้วบอกกับตัวเองว่า " เขาเป็นของฉัน…เราเกิดมาเพื่อเป็นของกันและกัน "
และอะไรต่อมิอะไรที่ทำให้ความคิดฟุ้ง อารมณ์ซ่าน พาลคิดต่อไปว่าฉันรักเขามากเหลือเกิน และฉันอยากให้เขารักฉันมากๆ เช่นเดียวกัน เพราะความรัก…เป็นอมตะนิรันดร์กาล
อารมณ์ต่างๆ ที่ว่ามาเป็นแค่ภาวะติดใจ หลงใหลและโหยหา เสมือนจุดเริ่มต้น นำไปสู่การประสานความรู้สึกที่ผูกพันต่อกันและกันในอนาคต เพราะความรัก… เป็นพัฒนาการ
หลายคนใช้คำ " ผูกพัน " ในความหมายที่ผิด
ความผูกพันนั้นมิได้หมายความว่า คุณทั้งสองจะต้องมีความสนใจในสิ่งต่างๆ เหมือนกัน มีกิจกรรมร่วมกันหรือต้องใช้เวลาอยู่ด้วยกัน (เกือบ) ตลอดเวลา…ถ้าวันไหนไม่ได้เจอะเจอกัน ก็จะเป็นจะตาย กระสับกระส่าย ทุกข์ทรมาน พาลจะหมดกำลังใจในชีวิต…พอเขากลับมา เหมือนปลากระดี่ได้น้ำ
บางคนหงอยเหงา เดียวดาย อ้างว้าง ในยามห่างไกล " คนรักผู้รู้ใจ "
บางคนอึดอัด รุ่มร้อน ในยามใกล้ชิดสนิทแน่นกับ " คนรักผู้เร้าใจ "
จิตอันกวัดแกว่งระหว่างสองขั้วของความรู้สึก " อัตคัดกับอัดแน่น" ภายใต้กรงขังของความรักที่กลายเป็นเครื่องจองจำจิตใจจนมิได้สัมผัสความรู้สึกอิสรภาพ… หากเป็นสภาวะดังกล่าว แสดงว่าความรู้สึกได้ก้าวพ้นข้ามแดนความผูกพัน ไปสู่ " การผูกมัด "
การผูกมัด มีสองกรณี
เขาผูกมัดใจเรา ด้วยการกำหนดกรอบพฤติกรรมตามที่เขาปรารถนา มีพื้นฐานมาจากความรู้สึกหึงหวง (Jealousy) ทำให้เราอึดอัดยามอยู่ใกล้กัน
เรามีใจผูกมัดกับเขา อยากอยู่ใกล้ชิดเป็นประจำ ขาดเขาไม่ได้ มีพื้นฐานมาจากความรู้สึกพึ่งพิง (Dependency) ทำให้เราเหงาหงอยยามอยู่ไกลกัน
คาริล ยิบราน (Kahlil Gibran) นักเขียนและกวีชาวเลบานอน ผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนโลกจากหนังสือ The Prophet ได้กล่าวถึงความรักด้วยภาษางดงาม ตัดตอนสั้นๆ มาดังนี้
"…Love one another but make not a bond of love :
Let it rather be a moving sea between the shores of your souls.
Fill each other's cup but drink not from one cup.
Give one another of your bread but eat not from the same loaf.
Sing and dance together and be joyous, but let each one of you be alone,
Even as the strings of a lute are alone though they quiver with the same music.
…And stand together, yet not too near together;
For the pillars of the temple stand apart,
And the oak tree and the cypress grow not in each other's shadow."
"…เธอทั้งสองจงรักกัน แต่อย่าสร้างพันธะแห่งรักนั้น
ขอให้รักเป็นเสมือนดั่งคลื่นทะเลที่โหมพัดอยู่ท่ามกลางชายฝั่ง
แห่งจิตวิญญาณของเธอทั้งสอง จงเติมเต็มในถ้วยของกันและกัน
แต่อย่าดื่มจากถ้วยเดียวกัน จงแบ่งปันขนมปังแก่กัน แต่อย่ากัดกินจากก้อนเดียวกัน
จงร้องและร่ายรำด้วยกันอย่างเริงร่า แต่ก็เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายเริงรำด้วยตนเอง
เฉกเช่นสายพิณอันโดดเดี่ยว แต่ร่วมกันขับขานเสียงท่วงทำนองของเพลงเดียวกัน
…และจงยืนด้วยกัน แต่อย่าเบียดชิดกันมากเกินไป
เพราะแม้เสาวิหารก็ตั้งตระหง่านเป็นระยะๆ
" ต้นโพและต้นไทร " ก็มิอาจเติบโตภายใต้ร่มเงาของกันและกันได้ "">
ความผูกพัน (Intimacy) ที่แท้จริง…คนทั้งสองต้องสามารถแสวงหาความสุขได้ทั้งในยามใกล้ชิด และแม้เมื่อต้องอยู่ห่างกัน แต่ละคนยังดำรงชีวิตตามวิถีแห่งตนโดยไม่เป็นทุกข์
จงอย่าใช้ความรักเป็นเครื่องมือในการกักขังหน่วงเหนี่ยวอีกฝ่ายด้วยความ " แหนหวง" ที่ถูกลวงด้วยคำ " ห่วงใย " เพราะความแหนหวงหรือหึงหวงเปรียบเสมือนโซ่ตรวน พันธนาการของจิตใจ
รักแท้ (True love) ต้องก่อให้เกิดอิสรภาพและการเติบโตทางจิตวิญญาณ เป็นสัมมาทิฐิที่ต้องสร้างทั้งความสัมพันธ์ฉันท์ผัวเมีย รวมทั้งพ่อแม่ลูก
ที่มา นพ.สุกมล วิภาวีพลกุล
ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์